เวลา 19.30 น. วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2549
ถ่ายทอดสด ยูบีซี 40, ช่อง 7, ไทเกอร์โดม
ผู้ตัดสิน โฮเวิร์ด เวบบ์
นัดแข่งใหม่ (ถ้ามี) เวลา 03.00 น. วันพุธที่ 15 มีนาคม 2549
ความพร้อมของทั้งสองทีม
ลิเวอร์พูล จะต้องตัดสินใจว่าจะเรียกโฆเซ่ เรน่า กลับมาเป็นผู้รักษาประตูหรือยังไว้วางใจเจอร์ซี่ ดูเด็ค ให้ทำหน้าที่ต่อไป ส่วนปีเตอร์ เคร้าช์ (ส้นเท้า) ยังไม่แน่ว่าจะลงเล่นได้หรือไม่ รวมทั้งหลุยส์ การ์เซีย น่าจะเป็นแค่ตัวสำรองเนื่องจากยังไม่ฟิตสมบูรณ์ โดยร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ลงเล่นในนัดนี้ไม่ได้ ในขณะที่สตีเฟ่น วอร์นอค (โคนขาหนีบ), แดเนียล แอกเกอร์ และแยน ครอมแคมป์ (ข้อเท้า) ยังต้องรอทดสอบความฟิต
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะได้ตัวผู้เล่นกลับมาสมบูรณ์ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ (โคนขาหนีบ) และไรอัน กิ๊กส์ (เอ็นหลังหัวเข่า) กลับมาฝึกซ้อมได้แล้ว หลังจากถูกเปลี่ยนตัวออกในช่วงพักครึ่งของนัดที่แล้ว ในขณะที่แกรี่ เนวิลล์ กัปตันทีมก็กลับมาลงเล่นได้อีกครั้งหลังจากไม่ได้ลงเล่นในนัดที่แล้ว ปัญหาการจัดตัวของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อยู่ที่ตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลางซึ่งน่าจะเป็นหน้าที่ของไรอัน กิ๊กส์ โดยหลุยส์ ซาฮา อาจจะต้องเป็นตัวสำรองแม้ว่าจะทำประตูในเอฟเอ คัพ ได้มากก็ตาม
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
ลิเวอร์พูล โฆเซ่ เรน่า, สตีฟ ฟินแนน, เจมี่ คาร์ราเกอร์, ซามี่ ฮูเปีย, ยอห์น อาร์เน่ รีเซ่, ฌิมี่ ตราโอเร่, หลุยส์ การ์เซีย, โมฮาเหม็ด ซิสโซโก้, ดีทมาร์ ฮามันน์, สตีเว่น เจอร์ราร์ด, ซาบี อลอนโซ่, แฮร์รี่ คีเวลล์, เฟอร์นานโด มอริเอนเตส, ฌิบริล ซิสเซ่, ปีเตอร์ เคร้าช์, เจอร์ซี่ ดูเด็ค, สตีเฟ่น วอร์นอค, แดเนียล แอกเกอร์, แยน ครอมแคมป์
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์, ทิม โฮเวิร์ด, แกรี่ เนวิลล์, ฟิล บาร์ดสลี่ย์, ริโอ เฟอร์ดินานด์, เวส บราวน์, มิเกล ซิลแวสตร์, เนมานย่า วิดิช, ปาทริซ เอวร่า, คีแรน ริชาร์ดสัน, คริสเตียโน่ โรนัลโด้, ปาร์ค จีซุง, อลัน สมิธ, ดาร์เรน เฟล็ตเชอร์, ไรอัน กิ๊กส์, เวย์น รูนี่ย์, หลุยส์ ซาฮา, รุด ฟาน นิสเตลรอย, จูเซ็ปเป้ รอสซี่, โอเล่ กุนน่าร์ โซลชาร์
ข้อมูลของทั้งสองทีม
ลิเวอร์พูล และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะเปิดศึกแดงเดือดอีกครั้งในเอฟเอ คัพ รอบที่ 5 ที่สนามแอนฟิลด์ แชมป์ยุโรปอาจจะเคยเป็นแชมป์ฟุตบอลถ้วยรายการที่เก่าแก่ที่สุดในโลก 6 สมัย และเป็นรองแชมป์ 6 ครั้ง แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือพวกเขาต้องตกรอบด้วยน้ำมือของปิศาจแดง 8 ครั้งจากการพบกัน 10 ครั้ง ที่จริงแล้วลิเวอร์พูล ไม่เคยเอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในรายการนี้ได้เลยนับตั้งแต่ปี 1921 เป็นระยะเวลา 85 ปีมาแล้ว
ฟอร์มการเล่นของลูกทีมของราฟา เบนิเตซ ดีขึ้นอีกครั้งหลังจากไม่ชนะมา 4 นัดในลีกโดยคว้าชัยชนะระหว่างนั้นได้ในการพบกับปอร์ทสมัธ ในเอฟเอ คัพ รอบที่ผ่านมาเท่านั้น พวกเขาชนะวีแกน 1-0 ในเกมเยือนเมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้ว และชนะอาร์เซน่อล ในบ้านเมื่อกลางสัปดาห์ด้วยสกอร์เดียวกันจากประตูชัยช่วงท้ายเกมของหลุยส์ การ์เซีย โดยลิเวอร์พูล ยังไม่แพ้ใครมาแล้ว 12 นัดที่สนามแอนฟิลด์ ในทุกรายการนับตั้งแต่เชลซี มาเยือนเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม นี่เป็นการลงเล่นเอฟเอ คัพ ในบ้านเป็นครั้งแรกของพวกเขาในฤดูกาลนี้ ก่อนชัยชนะที่สนามแฟรตตัน พาร์ค ในรอบที่แล้ว พวกเขาลงเล่นในนัดที่พิเศษสุดของรายการนี้เท่าที่ผ่านมาโดยชนะ 5-3 ในเกมเยือนลูตัน ทาวน์
ลิเวอร์พูล หวังจะเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เคยคว้าแชมป์ในฤดูกาล 2000/01 นั่นเป็นเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่พวกเขาประสบความสำเร็จนับตั้งแต่นัดชิงชนะเลิศย้ายออกจากสนามเวมบลี่ย์ โดยเอาชนะอาร์เซน่อล 2-1 ในรอบชิงชนะเลิศครั้งแรกที่จัดขึ้นในสนามมิลเลนเนี่ยม เชราร์ด อูลลิเย่ร์ พาทีมคว้าแชมป์ได้จาก 2 ประตูในช่วงท้ายเกมของไมเคิล โอเว่น
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะต้องรอให้เกิดความผิดพลาดครั้งใหญ่ของเชลซี หากพวกเขาจะพลิกแซงขึ้นครองแชมป์พรีเมียร์ชิพ พวกเขายังถูกทำลายความปรารถนาในการเป็นแชมป์ยุโรปอีกด้วย ดังนั้นในตอนนี้ทีมของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จึงตั้งความหวังในการคว้าดับเบิ้ลแชมป์บอลถ้วยในประเทศให้ได้ในฤดูกาลนี้ พวกเขารอคอยการเยือนสนามมิลเลนเนี่ยม เพื่อพบกับวีแกน ในนัดชิงชนะเลิศ คาร์ลิ่ง คัพ ในสุดสัปดาห์หน้า แต่ก่อนหน้านั้นมีบททดสอบสำคัญในการพบกับสโมสรซึ่งมีอันดับต่ำกว่าเพียง 1 อันดับและมีคะแนนน้อยกว่า 3 คะแนนใน 3 อันดับสูงสุดของพรีเมียร์ชิพ
ปิศาจแดง แพ้เพียง 2 นัดเท่านั้นจาก 18 นัดในทุกรายการ โดยในช่วงนั้นมีนัดที่เสมอกับเบอร์ตัน แบบน่าขายหน้าในรอบที่ 3 ด้วยแต่พวกเขาก็กลับมาถล่มชนะ 5-0 ได้ในนัดแข่งใหม่ซึ่งเป็น 1 ใน 6 นัดที่คว้าชัยชนะได้จาก 7 นัดหลังสุด แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เอาชนะวูล์ฟแฮมป์ตัน ที่สนามโมลินิวซ์ ได้อย่างสบายในรอบที่แล้ว และกำลังจะจัดการส่งลิเวอร์พูล ตกรอบไปเป็นครั้งที่ 8 จากการพบกันในเอฟเอ คัพ 8 ครั้งนับตั้งแต่ปี 1948 โดยมี 2 ครั้งที่ต้องลงเล่นในนัดแข่งใหม่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชนะ 3 นัดและเสมอ 1 นัดในการพบกับลิเวอร์พูล 4 นัดหลังสุดในทุกรายการ และแพ้เพียงนัดเดียวจาก 7 นัดโดยลูกจุดโทษของแดนนี่ เมอร์ฟี่ เป็นประตูชัยในเกมพรีเมียร์ชิพที่สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2004 การพบกันนัดแรกในลีกฤดูกาลนี้จบลงด้วยการเสมอแบบไร้สกอร์ที่สนามแอนฟิลด์ เมื่อเดือนกันยายน และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชนะ 1-0 ที่โรงละครแห่งความฝัน เมื่อเดือนที่แล้วจากประตูชัยในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของริโอ เฟอร์ดินานด์ ตามมาด้วยการแสดงความดีใจของแกรี่ เนวิลล์ ที่อาจจะทำให้บางคนไม่พอใจ
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์เอฟเอ คัพ พวกเขาคว้าแชมป์มาครองได้ 11 สมัย และเข้ารอบชิงชนะเลิศ 17 ครั้ง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ซึ่งคุมทีมเป็นปีที่ 20 พาทีมคว้าแชมป์มาแล้วในปี 1990, 1994, 1996, 1999 และ 2004 เขาแพ้ในนัดชิงชนะเลิศเมื่อปี 1995 ที่พบกับเอฟเวอร์ตัน และเมื่อปีที่แล้วที่พบกับอาร์เซน่อล โดยแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลายเป็นทีมแรกที่แพ้ในนัดชิงชนะเลิศจากการดวลจุดโทษ และเป็นนัดชิงชนะเลิศครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1912 ที่จบลงด้วยการเสมอแบบไร้สกอร์หลังจากช่วงต่อเวลาพิเศษ
สถิติการพบกันของทั้งสองทีม
ในลีก 146 นัด ลิเวอร์พูล ชนะ 49 ครั้ง, แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ 54 ครั้ง, เสมอ 43 ครั้ง
ในเอฟเอ คัพ 14 นัด ลิเวอร์พูล ชนะ 2 ครั้ง, แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ 8 ครั้ง, เสมอ 4 ครั้ง
ผลงานการพบกันในเอฟเอ คัพ
12 ก.พ. 1898 (รอบที่ 4) นิวตัน ฮีธ 0 – 0 ลิเวอร์พูล
16 ก.พ. 1898 (รอบที่ 4 นัดแข่งใหม่) ลิเวอร์พูล 2 – 1 นิวตัน ฮีธ
07 ก.พ. 1903 (รอบที่ 1) แมนฯ ยูไนเต็ด 2 – 1 ลิเวอร์พูล
08 ม.ค. 1921 (รอบที่ 3) ลิเวอร์พูล 1 – 1 แมนฯ ยูไนเต็ด
12 ม.ค. 1921 (รอบที่ 3 นัดแข่งใหม่) แมนฯ ยูไนเต็ด 1 – 2 ลิเวอร์พูล
24 ม.ค. 1948 (รอบที่ 4) แมนฯ ยูไนเต็ด 3 – 0 ลิเวอร์พูล
30 ม.ค. 1960 (รอบที่ 4) ลิเวอร์พูล 1 – 3 แมนฯ ยูไนเต็ด
21 พ.ค. 1977 (รอบชิงชนะเลิศ) ลิเวอร์พูล 1 – 2 แมนฯ ยูไนเต็ด
31 มี.ค. 1979 (รอบรองชนะเลิศ) แมนฯ ยูไนเต็ด 2 – 2 ลิเวอร์พูล
04 เม.ย. 1979 (รอบรองชนะเลิศ นัดแข่งใหม่) แมนฯ ยูไนเต็ด 1 – 0 ลิเวอร์พูล
13 เม.ย. 1985 (รอบรองชนะเลิศ) แมนฯ ยูไนเต็ด 2 – 2 ลิเวอร์พูล
17 เม.ย. 1985 (รอบรองชนะเลิศ นัดแข่งใหม่) แมนฯ ยูไนเต็ด 2 – 1 ลิเวอร์พูล
11 พ.ค. 1996 (รอบชิงชนะเลิศ) ลิเวอร์พูล 0 – 1 แมนฯ ยูไนเต็ด
24 ม.ค. 1999 (รอบที่ 4) แมนฯ ยูไนเต็ด 2 – 1 ลิเวอร์พูล
สถิติของทั้งสองทีมในเอฟเอ คัพ
ลิเวอร์พูล (อันดับที่ 3 ในพรีเมียร์ ลีก)
ผลงานที่ดีที่สุดในเอฟเอ คัพ : เป็นแชมป์ 6 สมัย (1965, 1974, 1986, 1989, 1992, 2001)
ผลงานในเอฟเอ คัพ ฤดูกาลที่แล้ว : ตกรอบที่ 3 (18 ม.ค. 2005 เบิร์นลี่ย์ 1 – 0 ลิเวอร์พูล)
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (อันดับที่ 2 ในพรีเมียร์ ลีก)
ผลงานที่ดีที่สุดในเอฟเอ คัพ : เป็นแชมป์ 11 สมัย (1909, 1948, 1963, 1977, 1983, 1985, 1990, 1994, 1996, 1999, 2004)
ผลงานในเอฟเอ คัพ ฤดูกาลที่แล้ว : เป็นรองแชมป์ (21 พ.ค. 2005 อาร์เซน่อล 0 – 0 แมนฯ ยูไนเต็ด หลังจากต่อเวลาพิเศษ อาร์เซน่อล ชนะจุดโทษ 5 – 4)
ผลงานในเอฟเอ คัพ ที่ผ่านมาในฤดูกาลนี้
ลิเวอร์พูล
07 ม.ค. 2006 (รอบที่ 3) ลูตัน ทาวน์ 3 – 5 ลิเวอร์พูล
29 ม.ค. 2006 (รอบที่ 4) ปอร์ทสมัธ 1 – 2 ลิเวอร์พูล
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
08 ม.ค. 2006 (รอบที่ 3) เบอร์ตัน อัลเบี้ยน 0 – 0 แมนฯ ยูไนเต็ด
18 ม.ค. 2006 (รอบที่ 3 นัดแข่งใหม่) แมนฯ ยูไนเต็ด 5 – 0 เบอร์ตัน อัลเบี้ยน
29 ม.ค. 2006 (รอบที่ 4) วูล์ฟแฮมป์ตัน 0 – 3 แมนฯ ยูไนเต็ด
เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติม
แกรี่ เนวิลล์ จะเป็นกัปตันทีมนำทัพลงเล่นในนัดนี้ในวันคล้ายวันเกิดครบ 31 ปีพอดี
รุด ฟาน นิสเตลรอย ต้องการอีก 2 ประตูจะทำได้ครบ 150 ประตูให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ฌิบริล ซิสเซ่, เฟอร์นานโด มอริเอนเตส, ปีเตอร์ เคร้าช์ และร็อบบี้ ฟาวเลอร์ กองหน้าทั้ง 4 คนของลิเวอร์พูล ยังทำประตูไม่ได้เลยนับตั้งแต่เข้าสู่ปี 2006
ฟาวเลอร์ ลงเล่นในนัดนี้ไม่ได้ เนื่องจากลงเล่นในเอฟเอ คัพ รอบที่ 3 ให้กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ มาแล้วในฤดูกาลนี้
DaKinG